|
จากกรณีซึ่งเป็นข้อสงสัยนี้ ขอให้พิจารณาจากข้อความซึ่งปรากฎใน กฎกระทรวงฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ.๒๕๓๗) หมวด ๒ ข้อ ๑๐ (๒)และ(๓) แล้วจึงขอให้ความเห็นดังนี้ ๑.จากข้อความตาม ข้อ ๑๐(๓) สามารถแยกประเด็นเกี่ยวกับข้อสงสัย ของคุณหนุ่มดอยหลวงได้ดังนี้ ๑.๑ ให้พิจารณาจากเขตตำบล ของแปลงที่ดินซึ่งทำการรังวัดออกโฉนด เป็นหลัก ถ้าที่ดินนั้นอยู่ในเขตตำบลที่มีเขตป่าสงวน..ฯลฯ ไม่ว่าจะติดต่อคาบเกี่ยว(ไม่ใช่ติดต่อและคาบเกี่ยว) หรืออยู่ในเขตป่าสงวน..ฯลฯ แม้ว่าจะได้มีการขีดเขตป่าในระวางแล้ว และ ป่าไม้มารับรองแล้วว่าอยู่นอกเขตป่าก็ตาม ถึงอย่างไรก็จะต้องตั้งคณะกรรมการร่วมตรวจพิสูจน์อยู่ดี เนื่องจากกฎกระทรวงดังกล่าว มิได้ให้อำนาจในการตัดสินขึ้นอยู่กับ เจ้าหน้าที่ป่าไม้แต่เพียงฝ่ายเดียว แต่อำนาจในการพิจารณาเป็นของ ผู้ว่าราชการจังหวัด โดยคณะกรรมการมีหน้าที่ตรวจพิสูจน์ และเสนอความเห็น เท่านั้น ๑.๒ หากที่ดินซึ่งทำการรังวัดออกโฉนดนั้น ไม่อยู่ในเขตตำบลที่มีเขตป่าสงวน..ฯลฯ ไม่ว่าจะได้มีการขีดเขตป่าสงวน..ฯลฯ ในระวางแล้วหรือไม่ ก็ไม่ต้องตั้งคณะกรรมการร่วมตรวจพิสูจน์ ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ หากปรากฎว่ามีข้างเคียง"ติดต่อคาบเกี่ยว" กับเขตป่าสงวน..ฯลฯ ก็ให้ดำเนินการเหมือนเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียง เท่านั้น แล้วปฏิบัติตาม ข้อ ๑๐(๒) ต่อไป ๒.คำว่า"ติดต่อคาบเกี่ยว" น่าจะมีความหมายว่า ติดกัน , จดกัน , อาจจะทั้งติดหรือมีบางส่วนยื่นเกยเข้าไป(ในเขตป่า)ด้วย ดังนั้นตามกฎกระทรวง จึงกำหนดให้ต้องตั้งคณะกรรมการตรวจพิสูจน์เพื่อร่วมกันวินิจฉัย ก่อนเสนอความเห็นให้ ผู้ว่าฯ พิจารณา |
5 ที่ดินว่างเปล่าทางทิศ เหนือ ทิศใต้ เเละทิศตะวันตกซึ้งปรากฎในสค1 เเปลงนี้ ได้รับการรับรองจากผู้ปกครองท้องที่เเล้วว่าไม่เป็นที่ห่วงห้ามประเภทใดทั้งสิ้น เเต่ที่ดินจังหวัดได้เสนอความเห็นโดยใช้ความเห็นของ เจ้าหน้าที่ 3ท่าน หนี่งในนั้นชือ นาย ยศกฤต ชูศรี หัวหน้างานนิติกรรม2 ชึ้งเป็นหนึ่งในห้าคณะกรรมการพิสูจน์ที่ดินตามกฎกระทรวง43 เสนอว่าเมื่อข้อเท็จจริงเเสดงให้เห็นว่าสค1 จดที่รกร้างว่างเปล่าก็ต้องถือระเบียบคณะกรรมการจัดที่ดินเเห่งชาติฉบับที่ 12 ข้อ 10 ในกรณีที่ดินนั้นมีด้านหนึ่งด้านใดหรือหลายด้านจดที่ป่าหรือที่รกร้างว่างเปล่าเเละระยะที่วัดได้เกินกว่าระยะที่ปรากฎในหลักฐานเเจ้งการครอบครองให้ถือระยะที่ปรากฎในหลักฐานการเเจ้งการครอบครองเป็นหลักในการออกโฉนด นายยศกฏตรับรองในฐานะคณะกรรมการพิสูจน์ที่ดินตามกฎกระทรวง43 ดูเอกสาร นายยศกฏตคัดค้านในฐานะเจ้าพนักงานที่ดิน ดูเอกสาร |
3 ความคิดเห็น:
ถ้าหากข้างเคียงระบุจดที่มีหลักฐานรอบทุกด้าน.....ในเมื่อหลักฐานทุกด้านยังชอบด้วยกฎหมายอยู่.คณะกรรมการ43รับรองประกาศครบ30วัน .เเล้วใช้ระเบียบ12ข้อ10. เเจ้งว่าติดป่า .อย่างนี้ ผมเสนอ ตั้งกรรมการตรวจสอบ ผุ้ออกคําสั่ง ครับ
ถัาจะมองว่าที่ว่างเปล่าปัจุบันมีการครอบครองข้างเคียงไม่ได้รับรองจากอปทต้องดูตามหนังสือกระทรวงมหาดไทยที่ มท 0719/ว525 ล.ว.24 ก.พ 42 ข้อ1 นายอำเภอต้องดำเนินการ
1.เป็นพยาน
2.ตรวจสอบว่าเป็นที่สาธารณประโยชน์หรือที่สงวนหวงห้ามหรือไม่
3.ตรวจสอบสภาพการครอบครองการทำประโยชน์
ตาม พ.ร.บ การปกครองท้องที่ ม.122 แก้ไขใหม่ 2551
นายอำเภอมีหน้าที่ร่วมกับ อ.ป.ท ในการดูแลรักษาและคุ้มป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณประโยชน์สมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน
ดังนั้น อ.ป.ท ตรวจสอบเฉพาะตามข้อ 2 ร่วมกับนายอำเภอเท่านั้น แต่ใน น.ส.5 เขียนคำว่า
เจ้าพนักงานผู้ปกครองท้องที่ ซึ่งตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตฯ 2542 นายอำเภอคือ ตำแหน่ง
เจ้าพนักงานผู้ปกครองท้องที่ ซึ่งเป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชาในอำเภอ และรับผิดชอบในการบริหารราชการของอำเภอ จะเห็นได้ว่า ตามแบบพิมพ์ น.ส.5 คือเจ้าพนักงานผู้ปกครองท้องที่ ก็ต้องนายอำเภอนั้นเอง เเละได้มีตัวเเทนมาเเล้ว
"ให้ถือระยะที่ปรากฎในหลักฐานการเเจ้งการครอบครองเป็นหลักในการออกโฉนด" โดยอ้างเหตุ
สค1 จดที่รกร้างว่างเปล่าก็ต้องถือระเบียบคณะกรรมการจัดที่ดินเเห่งชาติฉบับที่ 12 ข้อ 10 ในกรณีที่ดินนั้นมีด้านหนึ่งด้านใดหรือหลายด้านจดที่ป่าหรือที่รกร้างว่างเปล่าเเละระยะที่วัดได้เกินกว่าระยะที่ปรากฎในหลักฐานเเจ้งการครอบครองให้ถือระยะที่ปรากฎในหลักฐานการเเจ้งการครอบครองเป็นหลักในการออกโฉนด ถือว่าเจ้าหน้าที่ ดำเนินการรังวัดออก โฉนด. โดยมิชอบ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องถูกลงโทษทางวินัยและอาญา เมื่อดูแล้ว ไม่ปรากฎว่ามีประเด็นว่าเป็นที่หลวงหวงห้าม แต่เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า ประชาชนย่อมมีสิทธิ์เข้าไปครอบครองโดยเปิดเผยครับ แม้ที่ว่างเปล่าได้สละการครอบครอง ผู้ครอบครองต่อมาย่อมได้รับ"สิทธิ์ครอบครอง"แล้ว
ตามประมวลกฎหมายแพ่ง และสามารถนำที่ดินนั้นไปขอออกโฉนด โดยมิได้แจ้งการครอบครองได้ เพราะไม่ใช่ที่หลวงหวงห้าม ซึ่งเป็นข้อห้ามการออกโฉนดตามประมวลกฎหมายที่ดิน
การพยายามบอกกับสังคมว่าเป็นที่หลวงต้องเอาคืน ไม่มีตรงไหนที่บอกว่า เป็นที่หลวง....มันเป็นการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบซึ่งมีหลากหลายสาเหตุ
แต่ที่ดินที่เข้าไปทำประโยชน์นั้น หากเป็นคนไทยเข้าไปทำประโยชน์โดยเปิดเผยต่อเนื่อง ย่อมได้สิทธิ์ครอบครองตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งฯอยู่แล้ว
การออกเอกสารสิทธิ์ให้เป็นเพียงเป็นการรับรองโดยทาง
ราชการเท่านั้นเอง
คนเรียนกฎหมายย่อมซึมซับเรื่องสิทธิ์ในที่ดินและเอกสารสิทธิ์ เค้ารู้ว่ามันเป็นคนละเรื่อง ส่วนเจ้าของในปัจจุบันได้สิทธิ์นั้นโดยการครอบครองแล้วครับ
เพราะได้สิทธิ์ในที่ดินด้วยการเข้าทำประโยชน์แล้ว ออกโฉนดได้ ไม่มีปัญหา...เป็นโฉนดใหม่นะครับ...( แต่จะเป็นโฉนดหลังแดง ห้ามโอน ห้ามซื้อขายภายใน 10 ปี เพราะไม่ได้แจ้งการครอบครอง ) หากมีการเดินสำรวจทั้งตำบล ก็ขอออกโฉนดได้ นำทำการรังวัดได้เลย หากไม่มีการเดินสำรวจทั้งตำบล สามารถรอขอออกใบจอง แล้วนำใบจองไปขอออกโฉนดเฉพาะรายที่สำนักงานที่ดิน โฉนดเก่า หรือ นส. 3 ก. เก่า ก็ยกเลิกไป เรื่องเอกสารสิทธิ์ กับสิทธิครอบครอง เป็นคนละเรื่องกัน ก่อนออกโฉนดใหม่หลังจากทำการสอบสวนและทำการรังวัดใหม่แล้ว ต้องปิดประกาศ 30 วัน หากไม่มีผู้คัดค้าน ก็ออกได้เลย หากมีผู้ร้องค้าน ก็จะเป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานที่ดินเรียกทั้งสองฝ่ายมาไกล่เกลี่ยที่สำนักงานที่ดิน หากตกลงกันได้ก็จบ ออกโฉนดได้ หากเจ้าพนักงานที่ดินเห็นว่าผู้ร้องค้านไม่มีเหตุผลเพียงพอ ก็สั่งออกโฉนดได้ ( เป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงานที่ดิน ) กรณีนี้หากผู้ร้องคัดค้านเห็นว่าเป็นการออกโฉนดโดยมิชอบ ก็ไปร้องต่อศาลเอาเอง กรณีที่ 2 หากผู้ร้องคัดค้านไม่ยินยอม เจ้าพนักงานที่ดินเห็นตามผู้ร้องคัดค้าน ก็จะไม่ออกโฉนดให้ ( เป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงานที่ดินเช่นกัน ) ผู้ขอออกโฉนดก็นำเรื่องร้องต่อศาล...สุดท้ายศาลจะเป็นผู้พิจารณาว่า ที่ดินดังกล่าว สามารถออกโฉนดให้แก่ผู้ร้องได้หรือไม่ ท้ายที่สุดเรื่องจะไปจบลงที่ศาลทั้งนั้น หากเป็นไปตามนี้..เพราะมิใช่ กันระยะโดยเหตุ"ทับที่หลวง" แต่เป็นเรื่องออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ
ซึ่งยังคงมีที่ดินบางแปลงมีกรณีพิพาทกันอยู่
เจ้าหน้าที่ จะเป็นฝ่ายเสียหายซะเอง
ยิ่งมาตอกย้ำว่า...สค1 จดที่รกร้างว่างเปล่า ต้องกันระยะ
แสดงความคิดเห็น