การบริหารราชการตามระบบคุณธรรม
โดย ดร.จรวยพร ธรณินทร์
ข้าราชการคือข้าของแผ่นดิน เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ข้าราชการคือเสาหลักเสาหนึ่งของระบบบริหารราชการแผ่นดิน หากข้าราชการทำงานดี ประพฤติดี ก็เท่ากับเป็นการสนองคุณของแผ่นดิน
หากข้าราชการทุกระดับ โดยเฉพาะผู้บริหารได้เข้าใจความเสี่ยงและมีภูมิคุ้มกันที่ดีโดยยึดแนวทางตามพระราชจริยวัตร ทศพิธราชธรรม และพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงเปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณและพระเมตตาคุณ จะช่วยให้ท่านประสบความสุขความสำเร็จและความก้าวหน้าในการทำงาน
จึงขอนำมาเสนอเป็นข้อสังเกตเพื่อเป็นกำลังใจให้คนทำดี ได้โปรดทำดีต่อไป และเป็นข้อเตือนใจเพื่อป้องกันการกระทำผิดพลาดไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตามสำหรับผู้พลั้งเผลอ
ก.ระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคลภาครัฐ
เมื่อกล่าวถึงคำว่า “คุณธรรม” จำเป็นต้องเข้าใจความหมายของคำที่เกี่ยวข้องก่อน โดยเฉพาะคำว่าคุณธรรมในภาษาไทย ที่ตรงกับความหมายภาษาอังกฤษ 2 คำ คือ Virtue ที่หมายถึง ความดีงาม และ Merit ที่หมายถึง ความเหมาะสมในการส่งเสริมคนดีมีคุณสมบัติที่ดี เป็นต้น
อย่างไรก็ดียังมีคำที่เกี่ยวข้องกับคุณธรรมอีกมากมาย ได้แก่
1.จริยธรรม (Ethics)
หมายถึง ความเป็นผู้มีจิตใจสะอาด บริสุทธิ์ เสียสละ หรือประพฤติดีงาม
จริยธรรมมีการใช้งานใน 3 ลักษณะ
(1) ประมวล กฎหมาย ที่กลุ่มชนหรือสังคมหนึ่ง ๆ ยอมรับเป็นแนวควบคุมความประพฤติ เพื่อแยกแยะให้เห็นว่าอะไรควร หรือไปกันได้กับการบรรลุวัตถุประสงค์ของกลุ่ม
(2) ปรัชญาสาขาหนึ่งว่าด้วยความประพฤติและการครองชีวิต ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิด หรืออะไรควร อะไรไม่ควร
(3) กฎเกณฑ์ความประพฤติของมนุษย์ ซึ่งเกิดขึ้นจากธรรมชาติของมนุษย์เอง ได้แก่ ความเป็นผู้มีปัญญา และเหตุผลหรือปรีชาญาณทำให้มนุษย์มีมโนธรรมและ รู้จักไตร่ตรองแยกแยะความดี - ความชั่ว, ถูก - ผิด, ควร - ไม่ควร เป็นการควบคุมตัวเอง และเป็นการควบคุม กันเองในกลุ่ม หรือเป็นศีลธรรมเฉพาะกลุ่ม
2. จรรยาบรรณ(Code of Conduct or Professional Ethics)
หมายถึง ประมวลกฎเกณฑ์ความประพฤติ หรือประมวลมารยาทของผู้ประกอบอาชีพนั้น ๆ ต้องเป็นเอกลักษณ์ทางวิชาชีพ ใช้ความรู้ มีองค์กรหรือสมาคมควบคุม
จรรยาบรรณมีการใช้งานใน 2 ลักษณะ
(1) ประมวลความประพฤติที่ผู้ประกอบอาชีพการงานแต่ละอย่างกำหนดขึ้น เพื่อรักษาและส่งเสริมเกียรติคุณชื่อเสียงและฐานะของสมาชิก อาจเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ได้
(2) หลักความประพฤติที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้มีคุณธรรมและจริยธรรมของบุคคลในแต่ละกลุ่มวิชาชีพ
3. ศีลธรรม (Moral)
หมายถึง ความประพฤติที่ดีที่ชอบ ดีงาม และเว้นจากการทำความชั่ว โดยถือว่า
ศีล หมายถึง เว้นชั่วหรือเว้นจากข้อห้าม ส่วนธรรม หมายถึงประพฤติดี หรือทำตามคำแนะนำสั่งสอน
ศีลธรรมจึงมีการใช้งานในลักษณะที่เน้นทั้งการกระทำดี และการหลีกเลี่ยงการกระทำชั่ว
4. คุณธรรม (Virtue)
หมายถึง แนวความคิดที่ดีเป็นตัวบังคับให้ประพฤติดี
คุณธรรมมีการใช้งานใน 2 ลักษณะ
(1) สภาพคุณงามความดีทางความประพฤติและจิตใจ
(2) คุณธรรม คือจริยธรรมที่แยกเป็นรายละเอียดแต่ละประเภท หากประพฤติปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ก็จะเป็นสภาพคุณงามความดีทางความประพฤติและจิตใจของผู้นั้น
5. คุณธรรม (Merit)
หมายถึง ความดีงามของคนมีความรู้ดี ความสามารถดี ความประพฤติดี ทำให้คนมีคุณภาพ ใช้เป็นคุณสมบัติ(QUALIFICATION) และ ใช้ในการเลือกคนให้ทำงาน
คุณธรรม (Merit) มักใช้ในความหมายของระบบคุณธรรมของการบริหารงานบุคคล
6. ธรรมาภิบาล (Good Governance)
หมายถึง การจัดการปกครอง การบริหารปกครอง การบริหารกิจการบ้านเมือง การควบคุมดูแลกิจการ การกำกับดูแลที่ดี อันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ (Process) และระบบ (System) ซึ่งองค์การหรือสังคมได้มีการปฏิบัติหรือดำเนินการ (Operate)
ธรรมาภิบาล ครอบคลุมประเด็น ดังนี้
- การมีส่วนร่วมของประชาชน(Participation)
- นิติธรรม (Rule of Law)
- ความโปร่งใส ( Transparency)
- การตอบสนอง (Responsiveness)
- การแสวงหาฉันทามติ (Consensus oriented)
- ความถูกต้อง ความเสมอภาค ยุติธรรม เที่ยงธรรม (Equity)
- ประสิทธิผลและประสิทธิภาพ (Effectiveness & Efficiency)
- ภาระรับผิดชอบ (Accountability)
7. ทศพิธราชธรรม (Virtues of the King)
หมายถึง จริยวัตร 10 ประการที่พระเจ้าแผ่นดินทรงประพฤติเป็นหลักธรรมประจำพระองค์ หรือเป็นคุณธรรมประจำตนของผู้ปกครองบ้านเมือง ให้มีความเป็นไปโดยธรรมและยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชน
ทศพิธราชธรรม 10 ประการมีดังนี้
- ทาน คือ การให้ การเสียสละ การให้น้ำใจ
- ศึล คือ ความประพฤติที่ดีงาม ทั้ง กาย วาจา ใจ ให้ปราศจากโทษ
- บริจาค คือ การเสียสละความสุขส่วนตน เพื่อความสุขส่วนรวม
- ความซื่อตรง คือ ความซื่อตรงในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง ดำรงอยู่ในสัตย์สุจริต
- ความอ่อนโยน คือ การมีอัธยาศัยอ่อนโยน เคารพในเหตุผลที่ควร มีสัมมาคารวะต่อผู้อาวุโส
- ความเพียร คือ ความอุตสาหะในการปฏิบัติงาน โดยปราศจากความเกียจคร้าน
- ความไม่โกรธ คือ ไม่มุ่งร้ายผู้อื่น แม้จะลงโทษผู้ทำผิดก็ทำตามเหตุผล
- ความไม่เบียดเบียน คือ การไม่ก่อทุกข์หรือเบียดเบียนผู้อื่น
- ความอดทน คือ การรักษาอาการ กาย วาจา ใจให้เรียบร้อย การอดทนต่อสิ่งทั้งปวง
- ความยุติธรรม คือ ความหนักแน่น ถือความถูกต้อง เที่ยงธรรมเป็นหลัก
ความสำคัญของคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล
คุณธรรม(Virtue) และจริยธรรม เป็นกลไกเพื่อการควบคุมตนเอง ซึ่งเป็นกระบวนการกำกับพฤติกรรมของคนแต่ละคนในองค์กร ส่งเสริมให้ประพฤติชอบ (ทำดี มีประสิทธิภาพ)
ส่วนธรรมาภิบาล (Good Governance) เป็นกลไกเพื่อการควบคุม โครงสร้างของหน่วยงาน ระบบการบริหาร และกระบวนการดำเนินงาน ซึ่งเป็นกระบวนการกำกับการปฎิบัติงาน (Operation) ของคนทั้งหมดในองค์กร เป็นการลดการทุจริตประพฤติมิชอบ (ไม่ละเมิดกฎหมาย จริยธรรม จรรยาบรรณ)
ทั้งกลไกด้านคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล มีเป้าหมายเดียวกัน คือ นำไปสู่การลดความสูญเสีย ขจัดรูรั่วไหล ป้องกันการทุจริต การประพฤติและดำเนินการที่มิชอบ เพิ่มประสิทธิภาพประสิทธิผล ความคุ้มค่า โปร่งใส ตอบสนอง สุจริต ซื่อตรง และเที่ยงธรรม
หลักสำคัญของระบบคุณธรรมที่ใช้ในระบบบริหารงานบุคคลภาครัฐ (MERITSYSTEM)
1. หลักสมรรถนะ (Competency)
2. ความเสมอภาคทางโอกาส (Equality Of Opportunity)
3. ความมั่นคงในอาชีพ (Security Of Tenure)
4. ความเป็นกลางทางการเมือง (Political Neutrality)
จากหลักการของระบบคุณธรรมข้างต้น พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ.2551 จึงได้กำหนดสาระสำคัญในการใช้ระบบคุณธรรมเพื่อการบริหารงานบุคคลภาครัฐไว้ในมาตรา 42 ดังนี้
มาตรา 42 การจัดระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญตามพระราชบัญญัตินี้ ให้คำนึงถึงระบบคุณธรรมดังต่อไปนี้
(1) การรับบุคคลเพื่อบรรจุเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ต้องคำนึงถึงความรู้ความสามารถของบุคคล ความเสมอภาค ความเป็นธรรม และประโยชน์ของทางราชการ
(2) การบริหารทรัพยากรบุคคล ต้องคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพขององค์กรและลักษณะของงาน โดยไม่เลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
(3) การพิจารณาความดีความชอบ การเลื่อนตำแหน่งและการให้ประโยชน์อื่นแก่ข้าราชการ ต้องเป็นไปอย่างเป็นธรรมโดยพิจารณาจากผลงาน ศักยภาพและความประพฤติและจะนำความคิดเห็นทางการเมือง หรือสังกัดพรรคการเมืองมาประกอบการพิจารณามิได้
(4) การดำเนินการทางวินัย ต้องเป็นไปด้วยความยุติธรรมและโดยปราศจากอคติ
(5) การบริหารทรัพยากรบุคคล ต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง
สัจธรรมแห่งชีวิตบุคคลทั่วไป 6 ประการ
ในการทำงานหรือดำรงชีวิตของคนนั้น หากท่านเข้าใจสัจธรรม หรือความจริงที่เกิดขึ้นกับทุกคนว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา จะทำให้ท่านเข้าใจตนเองและผู้อื่นได้ดี และส่งผลให้มีกำลังใจไม่ท้อถอยในการทำงาน โดยสัจธรรมแห่งชีวิตประกอบด้วย
1.มนุษย์เติบโตมาจากภูมิหลังที่ต่างกัน ทำให้มนุษย์ไม่เหมือนกัน ท่านจะคาดคั้นบีบบังคับให้ทุกคนคิดอย่างเดียวกัน พูดทำนองเดียวกันหรือแสดงออกมาเป็นพิมพ์เดียวกันไม่ได้
2. ไม่มีใครที่ดีที่สุดหรือเลวที่สุด แต่เพียงอย่างเดียว ทุกคนมีทั้งดีและเลว ขึ้นกับว่าท่านรู้จักเขาดีเพียงพอหรือไม่ ท่านให้อภัยหรือชื่นชมผลกระทำของเขาได้หรือเปล่า
3. มนุษย์ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ ถ้ามีความตั้งใจที่จะเรียนรู้วิธีเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจงอย่าประเมินผู้อื่นต่ำ อย่าดูถูกเหยียบย่ำผู้อื่น แต่จงชี้แนะวิธีทำงานที่ดีกว่าเพื่อให้เขาค้นพบการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น
4. มนุษย์จะทำได้หากได้รับโอกาส และจะทำได้ดีหากมีกำลังใจได้รับคำชมและคำชี้แนะ แต่จะนั่งรอโชคไม่ได้ ต้องสร้างโอกาส และต้องขวนขวายหาทางจูงใจให้ผู้อื่นมองเห็นฝีมือและความสามารถของตน
5. คุณค่าของมนุษย์อยู่ที่การประเมินจากผู้อื่น เขาจะถูกประเมินอยู่ตลอดเวลา เขาจะเป็นคนดีเมื่อมีเสียงชื่นชมมากกว่าเสียงสาปแช่ง และสุดท้ายเมื่อเขาจากโลกไปเสียงที่ประเมินครั้งสุดท้ายจะเป็นการประเมินผลงานรวมตลอดชีวิตของบุคคลนั้น
6. มนุษย์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดต้องมีทั้ง ความดี ความเก่ง และโอกาส ความสำเร็จหรือล้มเหลวของมนุษย์ ล้วนเป็นฝีมือของเหล่ามนุษย์ด้วยกันทั้งสิ้น
สัจธรรมชีวิตข้าราชการ 8 ประการ
ในขณะที่มนุษย์ทุกคนต้องมีความเข้าใจในสัจธรรมแห่งชีวิต 6 ประการแล้ว การเป็นข้าราชการที่ดีย่อมต้องยึดมั่นใจสัจธรรมชีวิตข้าราชการเช่นกัน ซึ่งประกอบด้วย
1.ข้าราชการหวังในความก้าวหน้าในหน้าที่ (การครองงาน) : ได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น, ได้ย้ายไปสถานที่หรือตำแหน่งที่พอใจ, ได้รับความดีความชอบ,ได้ทำงานโครงการใหม่โครงการใหญ่โครงการยากที่เหมาะสม
2.ข้าราชการต้องการความยอมรับในสังคม (การครองคน) : ได้รับโล่รางวัล,เป็นที่ไว้วางใจของเจ้านาย,เป็นที่รักของลูกน้อง,มีเพื่อนตาย/กิน
3.ข้าราชการต้องจัดการชีวิต (การครองตน) : ครอบครัวอบอุ่น, ทุกคนมีงานทำ, ลูกได้เข้าเรียน , ไม่มีหนี้สิน, สุขภาพตนและครอบครัวดี
4.ความหมาย (ลาภ-ยศ-สรรเสริญ) การจัดลำดับ และขนาดของความสุข/ทุกข์ความสำเร็จ/ความล้มเหลวของข้าราชการแต่ละคนไม่เหมือนกัน
5.ชีวิตราชการเผชิญความเปลี่ยนแปลงเรื่อยมาสุขบ้าง-ทุกข์บ้าง ทุกคนเรียนรู้และปรับตัวถูกกลืนไปกับระบบราชการ
6.เจ้านาย เพื่อน ลูกน้อง ผู้ร่วมงานเปลี่ยนหน้าตลอดเวลา ย้ายไป,โตขึ้น,ลาออก,เกษียณไป, เป็นเรื่องธรรมดา
7. อาชีพข้าราชการเน้นเกียรติ ศักดิ์ศรี มากกว่าเงิน
8.ผลงาน/ตำแหน่ง อยู่ที่ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุ และอาศัย จังหวะ คุณภาพงานและคุณลักษณะส่วนบุคคล
สาเหตุที่คนกระทำผิด
การที่คนกระทำผิดมักเกิดจากสาเหตุที่เกิดภายในตัวบุคคล มาจากความไม่เข้าใจ ตามใจ ไม่ใส่ใจ เผลอใจ ไม่มีจิตใจ เจ็บใจ ชะล่าใจ ล่อใจ ตั้งใจ หรือกล่าวโดยสรุปมาจากจิตสำนึกของตนเอง
สาเหตุกระทำผิดจากภายนอก ซึ่งมาจากอบายมุข ตัวอย่างไม่ดี ขวัญไม่ดี งานล้นมือหรือไม่พอมือ โอกาสเปิดช่อง อ้างความจำเป็นในการครองชีพ และ ผู้บังคับบัญชาปล่อยปละละเลย
การกระทำชั่ว เป็นกระบวนการของพฤติกรรม ประกอบด้วย
1. มีผู้กระทำ ซึ่งอาจทำคนเดียว ทำเป็นกลุ่มเดียว หรือทำข้ามกลุ่มฮั้วกัน
2. มีแรงจูงใจ ทำตามคำสั่ง ทำโดยพลการ ทำโดยไม่รู้เท่าทัน ทำเพราะอ้างจำเป็น บันดาลโทสะ
3. มีโอกาส จังหวะ เวลา สถานที่ เครื่องมือ
4. มีการลงมือ ทำโดยวางแผน ทำปุบปับ ทำรวดเร็ว ทำแบบทารุณ
5. มีผลลัพธ์เกิดตามมา ผิดกฎหมาย ยักยอกของหลวง ทำร้ายร่างกาย ทำลายทรัพย์สิน สังคมประณาม เสื่อมเสียชื่อเสียงเกียรติยศของตนและวงศ์ตระกูล
วินัย คือ ตัวควบคุมคุณธรรม มิให้กระทำผิด
1. การรักษาวินัยของข้าราชการ 3 วิธี คือ
1) การรักษาวินัยโดยตัวข้าราชการเอง: (1) เรียนรู้และเข้าใจวินัย ซึ่งต้องมีการอบรมเรียนรู้ และ (2) สำนึกในหน้าที่ที่จะต้องรักษาวินัย
2) การรักษาวินัยโดยผู้บังคับบัญชา : (1) เสริมสร้างและพัฒนา (2)ป้องกัน และ (3) ดำเนินการแก่ผู้กระทำผิด
3) การรักษาวินัยโดยองค์กร : (1) กำหนดนโยบาย ออกระเบียบและกฎเกณฑ์ (2) ส่งเสริมและสนับสนุนและ (3) การกำชับติดตามตรวจสอบ
2. ปัจจัยส่งเสริมวินัย 4 องค์ประกอบ ได้แก่
1) สร้างขวัญ : รับขวัญ/ ปลอบขวัญ / ทำขวัญ / บำรุงขวัญ
2) สร้างกำลังใจ : ซึ่งทำได้ 2 อย่างคือ สร้างแรงดึงและสร้างแรงดัน
สร้างแรงดึงหรือเสริมทางบวก
(1) สนองความต้องการทางความมั่นคง/ความปลอดภัย/ความเป็นธรรม/ความก้าวหน้า/เกียรติยศ/การยอมรับ
(2) สร้างศรัทธาในงาน/หน่วยงาน/หัวหน้า/ผู้ร่วมงาน/
สร้างแรงดันหรือควบคุมไม่ให้เกิด
(1) สร้างเงื่อนไขให้จำเป็น:ผูกมัดด้วยสัญญา/ด้วยเครื่องยังชีพ
(2) สร้างเงื่อนไขให้กลัว : กลัวผลร้าย กลัวผู้รับรอง
3) ค่านิยม : มาตรฐานทางคุณธรรมจริยธรรม/ปณิธาน/อุดมคติ
4) คุณธรรม :ความเป็นธรรม/ความเสมอภาคในโอกาส/ไม่เลือกปฎิบัติ
3. เหตุบั่นทอนวินัย 6 สาเหตุ
1) ความไม่รู้ : ไม่รู้ในสิ่งที่ควรรู้/นึกว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครก็ทำกัน
2) การเสียขวัญ : รู้สึกว่าไม่ได้รับความสนใจ ไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัย ไม่ได้รับความเป็นธรรม
3) การเสียกำลังใจ : ไม่ได้รับการยอมรับ ความจริงใจ ผลตอบแทน ความเป็นธรรม
4) ความจำเป็น : ถูกล่อลวง ข่มขู่ บังคับ ขัดสน ตอบแทนบุญคุณ
5) กิเลส : ความอยาก/เห่อ /ประมาท/ว้าเหว่ /ความคับข้องใจ
6) อบายมุข การพนัน เที่ยวในถิ่นหรือเวลาอโคจร มัวเมาในกามารมณ์ คบคนชั่วเป็นมิตร
4. เครื่องควบคุมวินัย มี 3 กลไก
1) ข้อกำหนด : บทวินัยที่บัญญัติเป็นข้อห้ามและข้อปฏิบัติไว้
2) ผู้ควบคุม : ผู้บังคับบัญชาและองค์กรบริหารงานบุคคลกลาง เช่น คณะรัฐมนตรี คณะกรรมการก.พ., คณะกรรมการก.ค.ศ.,คณะกรรมการ.ก.ต.ร.
3) มาตรการบังคับ : ลงโทษวินัยไม่ร้ายแรง และร้ายแรง โดยมีหลักการคือ
- ความยุติธรรม ต้องมีการสอบสวน พิจารณาและให้สิทธิอุทธรณ์
- ความเป็นธรรม ต้องให้ได้ระดับมาตรฐานเสมอหน้า
- ความฉับพลัน ต้องให้รวดเร็วใกล้ชิดกับเหตุ
- นิติธรรม ต้องมีข้อกำหนดให้ทำหรือห้ามไม่ให้ทำ
- มโนธรรม ต้องคำนึงถึงความที่ควรจะเป็น
การป้องกันการกระทำชั่ว มิให้ต้องโทษทางวินัย
1.มีคุณธรรม (Virtue) แนวความคิดที่ดี เป็นตัวบังคับให้ประพฤติดี
2.ทำงานตามระบบคุณธรรม(Merit)
3.มีจริยธรรม (Ethics) เป็นแนวปฏิบัติตามอาชีพ
4.มีธรรมาภิบาล(Good Governance) ประกอบด้วย นิติธรรม คุณธรรม ความโปร่งใส การมีส่วนร่วม ความรับผิดชอบ และความคุ้มค่า
ข้อระวังในการทำงานกับฝ่ายการเมือง/ฝ่ายบริหารที่อาจนำไปสู่การกระทำผิด
1. การ “ล้วงลูก”ลึกลงไปถึงการแต่งตั้งข้าราชการ ที่มิได้อยู่ในอำนาจของตน
2. การนำบริษัทพวกพ้องเข้ามารับผลประโยชน์ที่มิชอบธรรมจากการจัดหา จัดซื้อ จัดจ้าง
3. การขอให้ข้าราชการช่วยสร้างฐานเสียง ในลักษณะ “หัวคะแนน” โดยให้จัดโครงการลงพื้นที่ ในลักษณะเลือกปฏิบัติ ขาดความชอบธรรม
4. การขอให้อาศัยอำนาจหน้าที่ช่วยเหลือพวกพ้องที่ทำผิดให้พ้นผิด
ดังนั้นข้าราชการจึงควรระมัดระวัง ดังนี้
- ควรทำหนังสือเสนอ และบันทึกกลับให้ผู้บังคับบัญชาทบทวนข้อเสนอ และตนเองต้องชั่งน้ำหนักผลที่ติดตามมาหากยังฝืนกระทำความผิด ระหว่างถูกย้ายกับต้องถูกดำเนินคดี
-ให้บันทึกความเห็นแย้งไว้เป็นหลักฐาน หากเป็นการประชุม ให้บันทึกรายงานการประชุมให้ครอบคลุมสาระสำคัญของการใช้ดุลพินิจ
- อย่าไปทำผิดไปสะดุดขาตัวเอง อย่าไปตายน้ำตื้น ด้วยความไม่รู้กฎหมาย แต่อย่าเถรตรง จนทุกอย่างไม่ยืดหยุ่น
- ยึดความถูกต้องมากกว่าถูกใจ ไม่จงใจซิกแซกเพื่อหลีกเลี่ยงหรือใช้ช่องโหว่ของกฎหมาย ไปทำผิดทั้งที่รู้ กรรมชาตินี้มีจริง กรรมติดจรวดส่งผ่านอีเมล์ได้ ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า
ป้องกันการร้องทุกข์คับข้องใจก่อนนำไปสู่การกระทำผิดวินัย
-กระบวนการพนักงานสัมพันธ์ งานบริหารบุคคลต้องเปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้
-มีกระบวนการเจรจาไกล่เกลี่ย ต่อรองภายในหน่วยงาน
-มีการสั่งงาน สอนงาน ควบคุม กำกับติดตามผลงานที่เป็นธรรม
-มีกระบวนการสมาชิกสัมพันธ์ : งานประเพณี งานรื่นเริง งานแต่งงาน
-มีการสื่อสารภายในองค์กรที่ดีและทั่วถึง
-การบริหารจัดการยึดหลักธรรมาภิบาล
-มีแหล่งระบายทุกข์ และทุกข์ได้รับการแก้ไขเยียวยา
ข. วิกฤติจริยธรรมในการบริหารภาครัฐ
คำถามเชิงท้าทายจริยธรรมในการบริหาร
ในการบริหารราชการมีจุดที่ตัดสินใจยากสำหรับผู้บริหาร เพราะหมิ่นเหม่ต่อการตัดสินใจผิดพลาด ซึ่งเป็นคำถามเชิงท้าทายจริยธรรมในการบริหาร
1.จะเลือกให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือ เลือกประสิทธิภาพ
2.จะเลือกแบบแผนตามวัฒนธรรมดั้งเดิม หรือ ประสิทธิผล
3.จะเลือกประชาชนโดยทั่วไป หรือ กลุ่มผลประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
4.จะเลือกความมั่งคั่งของธุรกิจ หรือ การขจัดปัญหาสิ่งแวดล้อม
5.ไม่ปรากฏหลักฐานว่าผิดกฎ ผิดระเบียบ ผิดกฎหมาย ถือว่ารับได้
6.การสร้างคะแนนนิยมโดยใช้เงินเป็นเครื่องมือเป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้
จากข้อมูลของพลสัณห์ ศรีสมทรัพย์ ยังพบว่าประเด็นจริยธรรม เป็นเรื่อง“จิตสำนึก” ของผู้บริหารเช่น รู้สึกผิด ไม่สบายใจ เมื่อไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ เช่น
“วันนี้ชะลอเรื่องการพิจารณาโครงการใหม่ของลูกน้องที่ไม่ใช่พวกเอาไว้ ให้ลูกน้องผู้นั้นกังวลใจไปสักระยะ
งวดนี้ขอเลื่อนตำแหน่งให้ลูกน้องคนสนิท ให้คนที่มีความสามารถรอไปก่อน
หางาน/โครงการให้กับธุรกิจที่เป็นเครือญาติ หรือตนเองมีผลประโยชน์ร่วม
รับพรรคพวกตนเองเข้ามาทำงานหวังให้เป็นฐานสนับสนุนตนเองในการครองอำนาจ”
การแสดงออกถึง “จิตสำนึกที่ดี” และ “การขาดจิตสำนึก” เชิงจริยธรรม
จิตสำนึกที่ดี ได้แก่ ความผูกพันต่อการให้บริการ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ปฏิบัติตามกฎ ข้อบังคับ ไม่ทำผิดกฎหมาย นับถือและเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ คำนึงถึงความยุติธรรมในสังคม ให้ความสำคัญต่อเสียงประชาชน โปรงใส ซื่อสัตย์ ผูกพันต่อการจัดการที่ดี รับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้ทำลงไป รักษาศรัทธาของมหาชน และสนับสนุนประโยชน์ส่วนรวม
ขาดจิตสำนึก ได้แก่ ไม่ผูกพันต่อการให้บริการ ขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ หลีกเลี่ยง กฎ ข้อบังคับ หลีกเลี่ยงกฎหมาย ไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่สนใจความยุติธรรมในสังคมไม่สนใจเสียงของประชาชน ไม่ซื่อสัตย์ คดโกง ไม่ผูกพันต่อการจัดการที่ดี ไม่รับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้ทำลงไป ไม่รักษาศรัทธาของมหาชน และสนใจแต่ประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง
สหราชอาณาจักรกำหนดหลักปฏิบัติเชิงจริยธรรม 7ข้อ สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐ
1.ความไม่เห็นแก่ตัว ไม่กระทำการเพื่อหาประโยชน์ให้กับตนเอง ครอบครัว และพวก
2.ความเป็นส่วนหนึ่งของระบบของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นส่วนหนึ่งของระบบงานสาธารณะ ต้องไม่ไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจ หรือกลุ่มผลประโยชน์ อันอาจมีอิทธิพลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่นั้น
3.มีจุดมุ่งหมายที่มีหลักการและคุณธรรม การดำเนินการต้องเป็นไปตามหลักการบริหารจัดการ และหลักคุณธรรม (Merit System)
4. รับผิดชอบต่อการตัดสินใจที่ตนได้กระทำ ตัดสินใจใดไปแล้วต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนได้กระทำ
5. เปิดเผยการกระทำ ต้องเปิดเผยการตัดสินใจที่เกี่ยวกับการดำเนินงานที่ตนได้ทำรวมถึงเหตุผลที่เกี่ยวข้อง และเปิดเผยรายละเอียดเมื่อสังคมร้องขอ
6. ซื่อสัตย์ ต้องชี้แจงข้อเท็จจริงต่อกรณีที่เอกชนได้เข้ามามีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับตน และมีหน้าที่ต้องแก้ปัญหาข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยใช้แนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
7.ความเป็นผู้นำ เจ้าหน้าที่รัฐพึงสนับสนุนหลักทั้ง 6 ประการข้างต้น โดยใช้ภาวะผู้นำ และการแสดงตนเป็นแบบอย่างที่ดี
หน่วยงานควรจัดทำมาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรม
มาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรม ควรมีองค์ประกอบดังนี้
1. กำหนดภารกิจหลักของหน่วยงาน
2. บรรจุหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่5) พ.ศ.2545 มาตรา 3/1 และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546
3. ค่านิยมสร้างสรรค์
4. มีการป้องกันพฤติกรรมการกระทำผิดที่พบบ่อย หรือล่อแหลมต่อการกระทำผิด
5. ครอบคลุมเนื้อหาทฤษฎีจรรยาบรรณ
ปัญหาเชิงจริยธรรมในการบริหารงานภาครัฐ
จากการสอบถามความคิดเห็นของนักศึกษาชั้นปริญญาโทที่มีต่อการบริหารงานภาครัฐในปัญหาเชิงจริยธรรม พบข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้
1. เจ้าหน้าที่ของรัฐ ประเภทระบบงานสาธารณะที่มีปัญหาเชิงจริยธรรมในระดับค่อนข้างมาก จำนวน 4 กลุ่มตามลำดับ ดังรายละเอียดจากตารางที่ 6
(1) คณะรัฐมนตรี
(2) นักการเมืองในองค์การบริหารส่วนตำบล
(3) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
(4) นักการเมืองในระบบเทศบาล
ตารางที่ 6 ค่าเฉลี่ยของปัญหาเชิงจริยธรรมของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ จากทัศนะของนักศึกษาปริญญาโท
ประเภทของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ค่าเฉลี่ย จัดลำดับ ระดับปัญหา
1. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2.77 3 ***
2. คณะรัฐมนตรี 2.94 1 ***
3. ปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด 2.41 5 **
4. หัวหน้าหน่วยงาน ระดับต้น 2.22 7 *
5. นักการเมืองในอบต. 2.88 2 ***
6. นักการเมืองเทศบาล 2.71 4 ***
7. ข้าราชการในกระทรวง กรม 2.20 8 *
8. พนักงานส่วนท้องถิ่น 2.41 6 **
2. ตัวปัญหาเชิงจริยธรรมในการบริหารระบบงานสาธารณะ
สถาบันและองค์กรอิสระ ประเภทระบบงานสาธารณะที่มีปัญหาเชิงจริยธรรมในระดับค่อนข้างมาก จำนวน 1 เรื่อง คือ คณะกรรมการกำกับการเลือกตั้ง ดังตารางที่ 7
ตารางที่ 7 ค่าเฉลี่ยของปัญหาเชิงจริยธรรมของสถาบันและองค์กรอิสระ
ประเภทของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ค่าเฉลี่ย จัดลำดับ ระดับปัญหา
1.สื่อมวลชน 1.73 10 **
2.ศาล (ชั้นต้น,อุทธรณ์,ฎีกา) 1.77 19 *
3.ศาลรัฐธรรมนูญ 2.57 18 *
4.ศาลปกครอง 2.13 20 *
5.คณะกรรมการกำกับการเลือกตั้ง 2.90 5 ***
6.สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน 2.32 15 **
3. กิจกรรมการบริหาร ประเภทระบบงานสาธารณะที่มีปัญหาเชิงจริยธรรมในระดับมาก จำนวน 4 เรื่อง ตามลำดับ ดังตารางที่ 8 คือ
(1) การกำหนดนโยบายในลักษณะที่เอื้อประโยชน์
(2) การใช้ทรัพย์สินของทางราชการเพื่อตนเอง
(3) การจัดซื้อจัดจ้างในระบบราชการ
(4) การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งในระบบราชการ
ตารางที่ 8 ค่าเฉลี่ยของปัญหาเชิงจริยธรรมของกิจกรรมการบริหาร
กิจกรรมการบริหารที่มักมีปัญหา ค่าเฉลี่ย จัดลำดับ ระดับปัญหา
1.การจัดซื้อจัดจ้างในระบบราชการ 2.95 3 ***
2.การรับคนเข้าทำงานในระบบราชการ 2.46 5 **
3.การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งในระบบราชการ 2.73 4 ***
4.การกำหนด นโนบายที่เอื้อประโยชน์ 3.43 1 ****
5.การใช้ทรัพย์สินของทางราชการเพื่อตนเอง 3.25 2 ****
6.การยินยอมปฏิบัติตามกฎหมายของประชาชน 2.38 6 **
4. ประเด็นที่ถูกวิพากษ์ แยกตามประเภทระบบบริหารงานสาธารณะ ที่มีปัญหาเชิงจริยธรรมมาก
(1) การกำหนดนโยบายในลักษณะที่เอื้อประโยชน์…..
- หางานให้ครอบครัวและพวกตัวเองทำ
- สร้างกติกาและข้อยกเว้นให้ครอบครัวและพวกได้ประโยชน์
- หาเสียงโดยไม่คำนึงประโยชน์ที่ยั่งยืน และปัญหาระยะยาว
(2) การใช้ทรัพย์สินของทางราชการเพื่อตนเอง
- หาประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่
- ทรัพย์สินของทางราชการเสียหาย
(3) การจัดซื้อจัดจ้างในระบบราชการ
- สมยอมกันล่วงหน้า เพื่อประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
- กำหนดคุณสมบัติเฉพาะเพื่อครอบครัวและพวก
- คิดค่านายหน้า เพื่อให้ได้สัญญาจ้าง
- รู้เห็นในผลงานที่ต่ำกว่ามาตรฐานโดยไม่แก้ไข
(4)คณะรัฐมนตรี
- ซื้อตำแหน่ง ร่วมบริจาคเพื่อตำแหน่ง
- ใช้อำนาจหน้าที่ให้ได้มาซึ่งประโยชน์ตนและพวก
- เลือกปฏิบัติ
(5) คณะกรรมการกำกับการเลือกตั้ง
- ไม่เป็นกลาง
- มีข้อกล่าวหาว่ารับสินบนแลกประโยชน์ผู้รับเลือก
(6) นักการเมืองในองค์การบริหารส่วนตำบล
- หางานให้ครอบครัวและพวกตัวเองทำ
- ใช้อำนาจหน้าที่ให้ได้มาซึ่งประโยชน์ตนและพวก
(7) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
- ซื้อ-ขาย เสียง
- ไม่มองประเทศโดยรวม
(8) การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งในระบบราชการ
- เล่นพรรค เล่นพวก
- ไม่ยึดหลักคุณธรรม
(9) นักการเมืองในระบบเทศบาล
- หางานให้ครอบครัวและพวกตัวเองทำ
- ใช้อำนาจหน้าที่ให้ได้มาซึ่งประโยชน์ตนและพวก
5. มาตรการที่สามารถแก้ไขปัญหาจริยธรรมเชิงบริหาร เรียงตามลำดับ ได้ดังนี้
(1) เพิ่มบทบาทของหน่วยงานกลางในการตรวจสอบพฤติกรรมที่ผิดระเบียบ
(2) การเพิ่มโทษผู้กระทำผิด และมุ่งใช้กฎ ระเบียบ แก้ปัญหา
(3) การสร้างและพัฒนาเครือข่ายวิชาชีพ โดยเน้นที่มาตรฐานคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณ
(4) การเพิ่มการฝึกอบรมโดยเน้นที่การพัฒนาด้านคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณ
(5) การปรับระบบการสรรหาคัดเลือกผู้ปฏิบัติงาน โดยคำนึงถึงเกณฑ์การคัดเลือกด้านคุณธรรม จริยธรรม
ค. การบริหารงานพัสดุภาครัฐ
(ที่มา : เฟื่องฟ้า เทียนประภาสิทธิ์ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน)
ลักษณะจำเพาะของการบริหารงานพัสดุภาครัฐ
การบริหารงานพัสดุภาครัฐ เป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อน ยุ่งยาก มีความแตกต่างจากงานบริหารทั่วไปโดยสิ้นเชิง เพราะทุกครั้งที่การจัดหาพัสดุเสร็จสิ้น ย่อมต้องมีผู้ได้ประโยชน์คือ ผู้ชนะการประมูล และมีผู้เสียประโยชน์คือ ผู้พลาดจากการประมูล
การบริหารงานด้านพัสดุของหน่วยงานต่างๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบฯที่กำหนด ต้องกำกับดูแลกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงาน
ความเสี่ยงในด้านการจัดซื้อ
1.ความเสี่ยงเรื่องนโยบาย ผู้บริหารควรกำหนดนโยบายและการวางแผนการจัดซื้อให้เหมาะสม โดยมองถึงผลประโยชน์ขององค์กร
2.ความเสี่ยงเรื่องคุณภาพ ของตรงกับความต้องการของผู้ใช้หรือเหมาะสมกับการนำไปใช้งาน คำนึงถึงคุณลักษณะและราคา
3. ความเสี่ยงเรื่องคุณลักษณะ (Specification) ยิ่งสินค้าที่มีคุณลักษณะยุ่งยากมากเท่าใด ความเสี่ยงของผู้ซื้อก็ยิ่งมีมากตามไปด้วย
4.ความเสี่ยงในการตรวจรับของ หากคณะกรรมการตรวจรับของ ขาดความรู้ในขั้นรายละเอียดของมาตรฐานของสินค้าคุณภาพตาม Specification อาจทำให้เกิดผลเสียหายต่อทางราชการ และตัวคณะกรรมการได้
5.ความเสี่ยงเรื่องราคา การตัดสินใจสั่งซื้อสินค้าภายใต้แนวความคิด Best Buy Policy ที่สำคัญที่สุดโดยทั่วไปจะตัดสินใจกันที่เรื่องราคา แล้วตามมาด้วยคุณภาพ
ความเสี่ยงในการจัดซื้อในเรื่องราคา
- การจัดซื้อที่ได้สินค้าที่มีราคาแพงกว่าที่ควรจะเป็น
- การสั่งซื้อในกรณีพิเศษ
- การจัดซื้อสินค้าที่มีราคาถูกแต่ด้อยคุณภาพ
- การจัดซื้อสินค้าที่มีราคาถูกแต่ผิดSpecifications
การทุจริตในธุรกรรม การจัดซื้อ จัดหาหรือจัดจ้าง
- เกิดจากการรับสินบน
- เกิดจากการฮั้วการประมูล
- เกิดจากการกินเปอร์เซ็นต์ค่า คอมมิชชั่น
ความเสี่ยงในเรื่องบุคลากร
ผู้ปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อสินค้า ต้องเป็นผู้ที่รอบรู้เกี่ยวกับระเบียบในด้านนี้พอสมควร ต้องปฏิบัติงานให้เป็นไปตามระเบียบ มิฉะนั้นจะนำมาซึ่งความเสียหายแก่ตนเอง และ ผู้บังคับบัญชา
หลักการบริหารการจัดซื้อจัดจ้าง
1. ต้องจัดให้มีระบบควบคุมภายในที่ดี โดยต้องมี Audit Committee
2.การให้ความสำคัญกับตัวบุคคล เริ่มจากการสรรหาหัวหน้าฝ่ายพัสดุรวมไปถึงบุคลากรทุกตำแหน่ง
- มีคุณธรรม จริยธรรม มีความซื่อสัตย์เป็นปัจจัยพื้นฐาน
- มีความรู้ มีความสามารถ มีประสบการณ์ และแม่นยำในระเบียบพัสดุ
- ต้องทำงานอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องตามกฎระเบียบ โปร่งใส และตรวจสอบได้
3.สนับสนุนในการให้รางวัลหรือสิ่งจูงใจ และสร้างความก้าวหน้า ในสายงานพัสดุ
4. ผู้บริหารของหน่วยงาน ควรเป็นตัวแบบที่ดีในการไม่แสวงหาประโยชน์
ตัวอย่าง การกระทำที่มีระดับความเสี่ยงสูง
1.ไม่มีการควบคุมและแบ่งแยกหน้าที่ที่สำคัญ
- ผู้ที่ทำหน้าที่พัสดุไม่เป็นเจ้าหน้าที่พัสดุโดยตรง และมอบหมายโดยไม่มีคำสั่งมอบหมายให้ชัดเจน
- ไม่มีการแบ่งแยกหน้าที่ที่ชัดเจน เช่น เจ้าหน้าที่การเงินและเจ้าหน้าที่พัสดุ เป็นบุคคลคนเดียวกัน
- มอบหมายให้ลูกจ้างชั่วคราวช่วยปฏิบัติงานด้านพัสดุ โดยไม่ตรวจสอบและควบคุม
2.) การแต่งตั้งคณะกรรมการและการทำหน้าที่ของคณะกรรมการชุดต่างๆ ไม่เหมาะสม
- กรรมการบางคน มีการทับซ้อนผลประโยชน์ส่วนตัว และภารกิจของรัฐ
- กรรมการบางคนขาดความรู้ ประสบการณ์ในพัสดุที่ตรวจสอบ
- กรรมการมีภาระงานมาก ทำให้ไม่มีเวลาปฏิบัติงานในหน้าที่พัสดุได้เพียงพอ
- กรรมการถูกแทรกแซงโดยผู้บริหารระดับสูง ผู้มีอิทธิพล
- ไม่มีฐานข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจของคณะกรรมการในเรื่องต่าง ๆ ที่ควรรู้
- กรรมการไม่ทำหน้าที่ตามที่ระเบียบกำหนด
- การพิจารณาและความเห็น ปฏิบัติไม่ถูกต้องตามหลักการของ พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
- ควรจัดทำรายงานการประชุม และรับรองรายงานที่ถูกต้อง ครบถ้วน
- ควรบันทึกความเห็นที่เป็นสาระสำคัญ ซึ่งจะป้องกันกรรมการบางคนที่มีความเห็นที่แตกต่างและเป็นประโยชน์ต่อทางราชการ
- ไม่ทำรายงานสรุปความเห็นเสนอหัวหน้าส่วนราชการ เพื่อพิจารณาสั่งการ
3.) การกำหนดคุณลักษณะของพัสดุ และคุณสมบัติของผู้เสนอราคา
3.1 การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของพัสดุ
- ไม่มากไม่น้อยต่อความต้องการใช้งานตามปกติ โดยไม่มีที่มา
- ไม่มีการสำรวจความต้องการ หรือสำรวจล่าช้า คิดไม่ออก คิดไม่ทัน และบางครั้งไม่รู้ว่าต้องการอะไร
- พัสดุที่จัดหากับแผนปฏิบัติงานไม่สัมพันธ์กัน
- ไม่มีการจัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับพัสดุที่จัดหา เพื่อใช้งานปกติ เช่น ปริมาณ และคุณลักษณะเฉพาะ
- ไม่เปิดกว้างให้มีการแข่งขันกันอย่างเป็นระบบ
3.2 การกำหนดคุณสมบัติของผู้เสนอราคา
- กำหนดคุณสมบัติของผู้เสนอราคาไม่เหมาะสม มากเกินไป น้อยเกินไป เกี่ยวกับผลงาน และทุนจดทะเบียนฯ
- การกำหนดคุณสมบัติของผู้เสนอราคาที่ผลิตในประเทศ ไม่เป็นไปตามระเบียบฯ
- ไม่มีการจัดทำฐานข้อมูลของผู้เสนอราคา และผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศเพื่อการอ้างอิง
- มีการสมยอมกันของผู้เสนอราคา ด้วยวิธีการต่างๆ
4.) การคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง
- การคำนวณค่า Factor F ไม่ถูกต้อง
- นำค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ซ้ำซ้อน (บางรายการรวมอยู่ในค่าครุภัณฑ์)
- ราคาวัสดุต่อหน่วยที่นำมาคำนวณราคากลาง มีราคาสูงกว่าราคาตลาด/พาณิชย์
- ตารางFactor F ที่ใช้คำนวณกับตาราง Factor F ที่ สตง.ใช้ตรวจสอบไม่ตรงกัน (และไม่จัดทำทะเบียนคุมตาราง Factor F)
- ไม่มีการคำนวณตรวจสอบค่าKทุกครั้งที่มีการส่งมอบงาน
- ใช้วัสดุไม่ถูกต้องตรงตามคุณลักษณะเฉพาะที่ ได้ยื่นขออนุมัติจากผู้ว่าจ้าง
5.) การบริหารสัญญา
- อนุมัติให้ขยายเวลา/ต่อสัญญาโดยไม่มีเหตุผลสมควรตามความเป็นจริง สั่งให้หยุดงานโดยไม่มีเหตุผล เช่น ขยายเวลาให้มากกว่าที่ทำงานจริง
- ไม่ขยายระยะเวลาตามสัญญาให้ผู้รับจ้าง เมื่อมีการร้องขอทั้งที่ทางราชการปฏิบัติไม่ถูกต้อง ย่อหย่อน ล่าช้า
- ผู้ควบคุมงาน/คณะกรรมการตรวจการจ้างใช้เวลาในการตรวจรับงานมากเกินความจำเป็น
- ผู้ควบคุมงานไม่อยู่บริเวณงาน และไม่จัดทำรายงานตามความเป็นจริง
- ผู้ควบคุมงาน/คณะกรรมการตรวจการจ้างตรวจรับงานโดยที่งานยังไม่เสร็จจริงตามข้อกำหนดในงวดงาน
- มีการเปลี่ยนแปลงรายการแต่ไม่ได้แก้ไขสัญญา หรือจัดทำบันทึกแนบท้ายสัญญา
- การก่อสร้างล่าช้ากว่าสัญญา ไม่มีการแจ้งการปรับและเร่งรัดการก่อสร้าง
- ปริมาณงานใน BO2 (บัญชีปริมาณงาน) ไม่ถูกต้องตามแบบรูปรายการ ทำให้เกิดปัญหาในการตรวจรับ
- สาระสำคัญในสัญญาบางประเด็นไม่เป็นไปตามเงื่อนไขใน TOR และใบเสนอราคา
- อนุมัติให้ขยาย/ต่ออายุสัญญา โดยไม่มีเหตุผล สมควรถูกต้องตามความเป็นจริง
- ไม่จัดทำทะเบียนควบคุม ครุภัณฑ์/งานก่อสร้างที่อยู่ในระหว่างการประกันฯ
การบริหารความเสี่ยงตามหลักธรรมมาภิบาล
1.หลักกฎหมาย ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติ/พระราชกฤษฎีการะเบียบ/ข้อบังคับ/มติ ค.ร.ม./หลักเกณฑ์/วิธีการ/แนวปฏิบัติคู่มือปฏิบัติงาน
- กำหนดขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร โดยผู้มีอำนาจหน้าที่ฯ
- มีความชัดเจน ไม่ซับซ้อน เข้าใจตรงกัน
- มีความถูกต้องครบถ้วนทั้งรูปแบบและเนื้อหา (แบบฟอร์มต่างๆ)
- มีความครอบคลุมต่อภารกิจที่จะต้องนำมาสู่การปฏิบัติงาน
- การใช้ดุลยพินิจ ต้องชอบด้วยหลักกฎหมาย ข้อเท็จจริง และเป็นธรรม
2. หลักความรับผิดชอบ สาระสำคัญเกี่ยวกับ ผู้มีอำนาจหรือมีหน้าที่ หรือผู้หนึ่งผู้ใดที่กระทำการ
- กระทำการโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่อไม่ปฏิบัติตามระเบียบ
- กระทำโดยเจตนาทุจริต หรือโดยปราศจากอำนาจ นอกเหนืออำนาจหน้าที่
- มีพฤติการณ์ที่เอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าเสนอราคาหรือเสนองาน ให้มีการขัดขวางการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม
- ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการหรือตามกฎหมายเฉพาะของส่วนราชการนั้น
- นอกจากนี้ยังต้องรับผิดในทางแพ่ง ตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการที่เกี่ยวข้อง
- โทษปรับทางปกครอง ตามระเบียบคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินว่าด้วยวินัยทางการเงินการคลังฯ
- อาจต้องรับผิดทางอาญา (เจตนาทุจริต และเกิดความเสียหายแก่เงินแผ่นดิน
การทุจริตจะต้องเข้าองค์ประกอบของกฎหมายที่สำคัญ 3 ประการ
1.) เกิดความเสียหายแก่เงินแผ่นดิน
2.) เจตนากระทำการโดยการหลีกเลี่ยงหรือละเว้นการปฏิบัติที่ไม่ชอบ
3.) เอื้อประโยชน์แก่ผู้หนึ่งผู้ใด
3. หลักความโปร่งใสตรวจสอบได้
- การเผยแพร่ประกาศสอบราคา ประกวดราคา และวิธีอิเล็กทรอนิกส์
- ความถูกต้องตรงไปตรงมา ตรวจสอบได้
- วิธีการต้องเปิดเผย โปร่งใส ไม่ปกปิด ประกาศสอบราคา/ประกวดราคาถูกต้อง ทั้งเนื้อหาและรูปแบบตาม พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539
- ตรวจสอบได้ทุกภาคส่วน เอกชน ประชาชน ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐได้
4. หลักความคุ้มค่า
- สมเหตุ สมผล ทั้งราคาและคุณภาพ
- มีประโยชน์จากการใช้สอย หรือการดำเนินงาน
- มีความประหยัด เหมาะสม ได้ผลตามเป้าหมาย
- มีความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่เอื้อประโยชน์ใคร มุ่งรักษาประโยชน์ทางราชการ
- เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
5. หลักการมีส่วนร่วม
- สอบถามความต้องการจากผู้ใช้งาน ทั้งจำนวนคุณลักษณะเฉพาะที่จำเป็น
- สอบถามความคิดเห็นสาธารณะ
- เป็นไปตามหลักการและเงื่อนไขของกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
- สังเคราะห์ วิเคราะห์ ความคิดเห็นได้อย่างถูกต้อง ตรงประเด็น
- เป็นไปตามหลักประชาธิปไตย
6. หลักคุณธรรม/จริยธรรม
- ความรับผิดชอบ พร้อมรับผิดชอบต่อความเสียหาย
- ส่งเสริมให้มีกิจกรรม โครงการ เพื่อการเสริมสร้างจริยธรรมอย่างจริงจัง
- มาตรการประหยัด : พลังงาน ลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็น
- มีการตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผล อย่างจริงจัง
- ควรจัดให้มีข้อกำหนดด้านจริยธรรม ให้เจ้าหน้าที่และผู้บริหารเกี่ยวกับการบริหารพัสดุ ขึ้นไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
- หากมีการละเมิด ละเว้น ข้อกำหนดด้านจริยธรรม ก็ควรมีมาตรการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม
การบริหารงานพัสดุให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์
- มีการกำหนด นโยบาย และแผนปฏิบัติงาน (กิจกรรม,คน ,เงิน,และเวลา) โดยมี
วัตถุประสงค์ในการดำเนินงานที่ชัดเจน
- วัตถุประสงค์ของการจัดหาพัสดุสอดคล้องกับการดำเนินงาน
- จัดระบบการควบคุมภายในให้ครบถ้วน สอดคล้องกับมาตรฐานการควบคุมภายใน ควบคุมคุณภาพ และมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง ประเมินความเสี่ยง และบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ เน้นการตรวจสอบ ควบคุมในกระบวนการปฏิบัติงานที่มีความเสี่ยง เช่น จุดควบคุมที่ระเบียบฯ กำหนดไว้
- จัดทำคู่มือแนวปฏิบัติ สำหรับ เจ้าหน้าที่ และผู้ควบคุมกำกับ เพื่อการป้องกันความผิดพลาด เสียหาย
- คำนึงถึงวัตถุประสงค์การใช้ ราคายุติธรรม ประโยชน์ระยะยาว
ง.การป้องกันและปราบปรามคอรัปชั่น
สาเหตุที่การคอรัปชั่นแพร่หลายในสังคมไทย
1. คนไทยใจซื่อ รักพวกพ้อง ลูบหน้าปะจมูก บุญคุณต้องตอบแทนจนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ มองว่าไม่ใช่เรื่องผิด
2. ระบบอุปถัมภ์และการเล่นพวก ทำให้การทุจริตทำได้แนบเนียนไร้ที่ติมากกว่าเดิม
3. เป็นการโกงแบบบูรณาการ และการครอบงำระบบ จนกลายเป็นเรื่องปกติ เป็นแบบอย่างให้คนรุ่นหลังเอาแบบอย่าง
4. ระบบการคอรัปชั่นเชิงนโยบาย/ทับซ้อน ผลประโยชน์ /ต่อยอดขยายผลพัฒนาไปเป็นรูปแบบ Holding Company ได้อย่างแยบยล
5. มีการบูรณาการรูปแบบคอรัปชั่นใหม่ แบบโกงกินโดยสังคมไม่รู้สึก เพราะไม่ได้โกงเงินงบประมาณแผ่นดิน แต่โกงแบบไม่จ่ายเงินสัมปทาน โกงแบบหาผลประโยชน์ทับซ้อน
6. การ"ทำ" หรือ "ไม่ทำ" อะไร ของผู้มีอำนาจล้วนส่งผลกระทบทั้งในทางลึก และ ทางกว้าง จนเกิดอิทธิพลฝังลึก ลงราก ยากแก่การรื้อถอน สืบต่อเป็นวัฒนธรรม ประเพณี มีเงิน มีพวก มีอำนาจ จนกลายเป็นเรื่องปกติ
งานวิจัยการแก้ปัญหาคอรัปชั่นในระบบราชการในช่วงแรกปี2536 (ที่มา:รศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2536)
จากงานวิจัยการแก้ปัญหาคอรัปชั่นในระบบราชการในปี2532-2534 มีข้อค้นพบและข้อเสนอแนะที่น่าสนใจ รวม 4 ประเด็นดังนี้
1. ธรรมาภิบาล มักถูกมองไปที่คอรัปชั่น โดยมีสมมุติฐานสำคัญ คือ :ระดับของอัตราการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีมีความสัมพันธ์กับระดับของอัตราความเสี่ยงต่อการทุจริตคอร์รัปชั่น
มีข้อสรุปที่สำคัญเกี่ยวกับสาเหตุของคอรัปชั่นในระบบราชการไทย
1) สาเหตุของการฉ้อราษฎร์บังหลวงของข้าราชการด้วยความไม่รู้ หรือด้วยความบริสุทธิ์ใจยังคงดำรงอยู่ค่อนข้างมาก
2) สาเหตุของการคอรัปชั่นของข้าราชการอยู่ที่ตัวระบบราชการ มากกว่าอยู่ที่ตัวข้าราชการในฐานะปัจเจกบุคคล ดังนั้นต้องปรับปรุงประสิทธิภาพของตัวระบบราชการ
3) คอรัปชั่นมิใช่เอกลักษณ์ของประเทศไทย ทุกประเทศมีปัญหาการคอรัปชั่น เพราะข้าราชการ คือ มนุษย์ที่มีกิเลสคล้ายกัน แต่หลายประเทศพยายามแก้ปัญหาด้วยกระบวนการหลายขั้นตอนที่ต่อเนื่อง สร้างวัฒนธรรมของความโปร่งใส ซื่อสัตย์ และ การแยกระหว่าง ‘ส่วนตัว’ กับ ‘สาธารณะ’ รวมทั้งการสร้างระบบตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ และลดแรงจูงใจให้ทำการคอรัปชั่นความแตกต่างในประเทศไทย คือ ยังไม่มีรัฐบาลใดมีความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาการคอรัปชั่นอย่างแท้จริง
2. รูปแบบการคอรัปชั่นหลัก แบ่งได้เป็น 4 ประเภท
1) ระบบส่งส่วย (Syndicate corruption)
วิธีการ: ข้าราชการชั้นผู้น้อยเก็บส่วย หรือภาษีไม่เป็นทางการแล้วรวบรวมที่กองกลาง หลังจากนั้นแจกจ่ายรายได้ส่วยไปยังข้าราชการทั้งระดับสูงและล่างในกรม กอง
2) กินตามน้ำการจัดซื้อจัดจ้าง (Procurement kickbacks)
วิธีการ : สินบนการจัดซื้อจัดจ้าง
3) การจ่ายสินบนเพื่อให้ได้การผูกขาดกิจการบางประเภทที่ต้องได้สัมปทานจากรัฐบาล และเพื่อคงสภาพการผูกขาดนั้นไว้
วิธีการ : โดยการจ่ายสินบนเป็นการจ่ายประจำให้ข้าราชการหลายระดับ ในบางกรณีจ่ายทั้งกรม
4) การคอรัปชั่นการประมูลโครงการ
วิธีการ : หลายวิธีการ แต่โจ่งแจ้งที่สุดคือ การฮั้วกันระหว่างกลุ่ม ผู้เสนอประมูล เพื่อควบคุมการประมูลแล้วมีข้อตกลงเวียนกันเป็นผู้ชนะประมูลเป็นคราว ๆ ไป
3. มาตรการการป้องกันคอรัปชั่นในระบบราชการ
1) ปรับปรุงระเบียบกฎเกณฑ์ของการให้บริการประชาชนให้เรียบง่าย ลดโอกาสที่ข้าราชการจะใช้อำนาจเพื่อการคอรัปชั่น
2) จับตาดูเพื่อประเมินพฤติกรรมคอรัปชั่นอย่างเป็นระบบ ในหน่วยงานที่มีการร้องเรียนเรื่องการคอรัปชั่นหนาหู หรือมีเหตุการณ์เกิดขึ้น อาจใช้ทั้งระบบจัดตั้งกล้องถ่ายวีดีโอ และการใช้สายสืบภายใน โดยไม่บอกให้ข้าราชการทราบ ส่วนหัวหน้าสำนักงานต้องหูตาไวเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ แสวงหาทางกระจายกลุ่มคนที่อาจรวมหัวกันตั้ง “แก๊ง” ดังกล่าว
3) ลดโอกาสการคอรัปชั่น โดยการสับเปลี่ยนบุคคล หรือการโยกย้ายหน่วยงานที่ทำบ่อยครั้ง เพื่อป้องกันการรวมกลุ่มจัดตั้ง“แก๊ง”หรือ Syndicate ในการคอรัปชั่น
4) จับตาดูพฤติกรรมของข้าราชการระดับหัวหน้างาน ซึ่งจากประสบการณ์ของประเทศต่าง ๆ พบว่า ข้าราชการระดับหัวหน้ามีแนวโน้มจะคอรัปชั่นสูง แล้วจึงหาวิธีการอันเดียวกัน จับตาดูพฤติกรรมของข้าราชการระดับรองลงมา
5) ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลการเงินทุกระดับต้องได้รับการพิจารณาคัดเลือกเป็นพิเศษ และต้องแจงมูลค่าทรัพย์สินของตนเองและครอบครัวแก่ทางการพร้อมหลักฐานทุกปี เพื่อป้องกันไม่ให้ร่ำรวยผิดปกติ
6) ทุกหน่วยงานที่มีปัญหาการคอรัปชั่นต้องมีหน่วยงานวิจัยลู่ทางการคอรัปชั่นในสำนักงาน รวมทั้งศึกษาลักษณะประเภทบุคคลที่มีแนวโน้มจะทำการคอรัปชั่นจากกรณีที่เกิดขึ้นแล้ว
7) มีการทำIntegrity test หรือการทดสอบเรื่องความซื่อตรงของข้าราชการในหน่วยงานเป็นครั้งเป็นคราว
8) จัดตั้งศูนย์ทำการสำรวจทัศนคติของสาธารณชน เพื่อประเมินผลการทำงานและการคอรัปชั่นของข้าราชการในสำนักงาน
4. ข้อเสนอแนะการจัดทำแผนการปราบคอรัปชั่น
(1) แผนระยะสั้นถึงปานกลาง : ระบบส่วยและระบบสินบน เพื่อการผูกขาดกิจการบางอย่าง หรือเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
วิธีการ: ยุทธศาสตร์เฉียบพลัน มีการวางแผนอย่างรัดกุมล่วงหน้า
- เปิดโปงพฤติกรรมแล้วให้ผู้กระทำความผิดระดับสูงจำนวนหนึ่งลาหรือเกษียณออกจากราชการ
- นิรโทษกรรมข้าราชการะดับล่าง และผู้ให้สินบน
- ประกาศโทษร้ายแรงสำหรับผู้กระทำความผิดอีก (รวมทั้งผู้ให้สินบน)ในอนาคต
- สิ่งที่ต้องทำก่อน : สืบสวนสอบสวนเป็นการลับ เพื่อหาแหล่งที่มาของเงิน กระบวนการรับเงิน การฝากเงิน (ธนาคารทั้งในและนอกประเทศ) บุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องเป็นหัวโจกสิ่งที่ต้องทำระยะยาว
- การปฏิรูประบบการคัดเลือก และการฝึกอบรม
(2) แผนปราบปรามกินตามน้ำการจัดซื้อจัดจ้างและการควบคุมการประมูลโครงการ
วิธีการ: สร้างระบบข้อมูลการประมูลและกฎเกณฑ์ให้โปร่งใสที่สุด ที่ประเทศเม็กซิโก สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เป็นผู้จัดการเรื่องนี้และนำข้อมูลเรื่องการประมูลโครงการรัฐ(Federal government)ใส่อินเตอร์เน็ตอย่างเปิดเผย ใครก็เปิดดูได้ และจะแสดงรายชื่อบริษัทที่ชนะหรือแพ้การประมูลรวม ทั้งเหตุผล
- มีระบบตรวจสอบและถ่วงดุล (Check and Balances) ในกระบวนการกำหนดนโยบาย
- ใช้กฎหมายป้องกันและมีบทลงโทษผู้ฮั้วการประมูล อย่างจริงจัง
(3) แผนระยะปานกลางและระยะยาว
(1) ให้มีพระราชบัญญัติเพื่อจัดตั้งคณะกรรมาธิการพิเศษ เพื่อสืบสวนสอบสวนกรณีอื้อฉาวสำคัญที่สาธารณชนให้ความสนใจมาก เป็นกรณีสำคัญที่มีผลสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาล หรือกระทบประสิทธิภาพการทำงานของระบบราชการอย่างมาก (ปัจจุบันได้มีการจัดตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำหน้าที่ในลักษณะนี้)
คณะกรรมาธิการพิเศษนี้ (คล้าย Royal Commission ของ ออสเตรเลีย) มีอำนาจหน้าที่หลักคือ
(ก) สามารถเข้าถึงข้อมูลเพื่อสืบสวนสอบสวนแสวงหาข้อเท็จจริง
(ข) เสนอแนะการดำเนินคดีตามกฎหมาย
(ค) เสนอแนะการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือกฎระเบียบ หรือหลักปฏิบัติ(Codes of Conduct) เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก
(ง) เปิดเผยผลการสืบสวนสอบสวนให้สาธารณชนได้รับทราบ
(2) ปรับปรุงการทำงานของป.ป.ชให้มีการเจาะเน้นเฉพาะเรื่องการ
- คอรัปชั่นสำคัญมากขึ้น เช่น เรื่องรูปแบบการคอรัปชั่น 4 ประเภท โดยจัดทำเป็นแผน5ปี เน้นเจาะเป็นเรื่อง
- รณรงค์ให้ข้าราชการและสาธารณชน ตื่นตัวร่วมต่อต้านการคอรัปชั่น ให้การศึกษาอบรมเรื่องปัญหาการคอรัปชั่นเพื่อสร้างทัศนคติและวัฒนธรรมใหม่ อาจขอความร่วมมือจากบริษัทโฆษณา สื่อทีวี หนังสือพิมพ์
- การรณรงค์ให้เจาะเน้นไปที่ข้าราชการรุ่นใหม่ ใช้วิธีการทันสมัยที่โยงกับระบบแรงจูงใจ ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญของสำนักงาน ก.พ. และกระทรวงการคลัง
(3) งานต่อต้านการคอรัปชั่นมิใช่เป็นเรื่องของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เท่านั้น หน่วยงานอื่นต้องเข้ามีบทบาทด้วย เช่น ขยายขอบข่ายงานของ สำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเพื่อช่วยอุดช่องโหว่ของระบบการควบคุม และระบบบริหารราชการในปัจจุบัน
- ให้ยกเลิกกฎเกณฑ์ที่จำกัดการทำงานของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินให้อำนาจมากขึ้นและให้ความอิสระ
- เห็นควรให้ขยายขอบข่ายงานของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินให้ครอบคลุมการประมูลโครงการและการจัดซื้อจัดจ้าง
(4) ปรับปรุงและลดกฎเกณฑ์ภายในกรมกองของข้าราชการอย่างต่อเนื่อง แล้วเปิดเผยกฎเกณฑ์อย่างโปร่งใส ถ้าเป็นไปได้ให้ลงอินเตอร์เน็ตให้ผู้คนเข้าถึงได้ (เม็กซิโกทำวิธีนี้ เรียกว่า Internal Deregulation)
(5) มีขบวนการปรับปรุงการทำงานของหน่วยงานราชการที่มีโอกาสมีปัญหาการคอรัปชั่นร้ายแรงได้อย่างต่อเนื่อง
(6) พิจารณายกเลิกระบบผูกขาดโดยรัฐบาล และเสนอให้มีพระราชบัญญัติต่อต้านการผูกขาด (Anti-Monopoly Laws)
คอร์รัปชั่นในประเทศไทยยุคใหม่(ข้อมูลจากภาคีส่งเสริมการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการพัฒนาเครือข่ายการ
เมืองของพลเมือง ปี2551)
หลังจากมีการเสนอข้อมูลคอร์รัปชั่นในประเทศไทยในยุคพ.ศ.2536 ไปแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในการป้องกันและแก้ไขคอร์รัปชั่น ได้แก่ มีการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ 3 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 กรมสอบสวนคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษพ.ศ.2547 และ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ตามพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2551
อย่างไรก็ตามยังพบว่า สถานการณ์คอร์รัปชั่นของประเทศไทยยังอยู่ในสภาวะน่าเป็นห่วง ซึ่งจากข้อมูลของภาคีส่งเสริมการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการพัฒนาเครือข่ายการเมืองของพลเมือง ในปี2551ได้รายงาน ข้อมูลสำคัญ 8เรื่องดังนี้
(1) ภาพพจน์ของประเทศไทยด้านความโปร่งใส (จากการประเมินของTransparency International Organization) อยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง และคะแนนระดับต่ำมาก (2.7- 3.6 จากคะแนนเต็ม10) ตลอดมาตั้งแต่ปี 2538 -2547ปี 2551ก็ยังคงตกต่ำ ไทยได้ 3.5จาก10 คะแนน อยู่อันดับที่ 80 จากทั้งหมด 180ประเทศทั่วโลก และอยู่อันดับที่ 13 จาก 32 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค
(2) พบคดีคอร์รัปชั่นที่เข้าสู่การพิจารณาของ ป.ป.ช.จำนวนสูง
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้รายงานว่าผลงานในช่วง เมษายน 2542 - ธันวาคม 2546 ได้รับเรื่องไว้ดำเนินการ 10,556เรื่อง ดำเนินการเสร็จ 4,722 เรื่อง คงเหลือ 5,834 เรื่อง
ในจำนวนนี้มีผลการดำเนินคดีทั้งทางวินัยและอาญา โดยแบ่งเป็นการดำเนินคดีทางวินัย ได้ส่งผู้บังคับบัญชาพิจารณาลงโทษทางวินัย 176 เรื่อง ซึ่งต้นสังกัดดำเนินการลงโทษแล้ว จำนวน 104 เรื่อง และอยู่ระหว่างต้นสังกัดดำเนินการ72 เรื่อง ส่วนดำเนินคดีทางอาญา ได้ส่งอัยการสูงสุดเพื่อฟ้องคดีอาญาต่อศาล211 เรื่อง ซึ่งอัยการสูงสุดได้ฟ้องคดีแล้ว 73 เรื่อง อยู่ระหว่างการพิจารณาสำนวนของอัยการสูงสุด 132 เรื่อง และอยู่ระหว่างการตั้งคณะทำงานร่วมกัน 6 เรื่อง
(3) ค่าประมาณความเสียหายของรัฐจากคอร์รัปชั่นในการก่อสร้างในช่วง16 ปี (พ.ศ.2530 - 2545) ประเมินว่างบประมาณค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้างบวกกับงบลงทุนรัฐวิสาหกิจรวม 4.2 ล้านล้านบาท ถ้ามีการทุจริต 30%จะคิดเป็นมูลค่า 1.2 ล้านล้านบาทหรือประมาณ 750,000 ล้านบาท/ปี
(4) ทัศนคติของเยาวชนไทยด้านคอร์รัปชั่น น่าเป็นห่วง
ผลสำรวจความเห็นของเยาวชนด้านคอร์รัปชั่นขององค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย จากนักเรียนมัธยมปลายทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค 38 โรงเรียน จำนวน 2,304 คน ในปี 2546 นักเรียนตอบว่า “ใช่” ซึ่งเป็นทัศนคติที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากเป็นทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง ดังนี้
n ทัศนคติ “คนซื่อสัตย์มากเกินไปก็ถูกคนอื่นเอาเปรียบ” ตอบ “ใช่“ ร้อยละ83.5
n ทัศนคติ “การทุจริตคอร์รัปชันเป็นวัฒนธรรมที่สังคมไทยไม่อาจแก้ไขได้แล้ว”ตอบ “ใช่” สูงร้อยละ 34.4
n ทัศนคติ “โกงได้บ้าง แต่ต้องมีผลงานและทำให้ประโยชน์ให้สังคม” ตอบ“ใช่” ร้อยละ 51
n ทัศนคติ “การทำธุรกิจแบบตรงไปตรงมา ทำให้เสียเปรียบคู่แข่งขัน” ตอบ“ใช่” ร้อยละ 38.9
n ทัศนคติ “การให้ค่าตอบแทนเล็ก ๆ น้อยๆ แก่ข้าราชการไม่เป็นเรื่องเสียหาย เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่องาน” ตอบ “ใช่” ร้อยละ 44.9
(5) ได้เกิดกรณีการคอร์รัปชันแบบใหม่ที่กว้างกว่าการทุจริตวิธีดั้งเดิมตัวอย่างเช่น
- การสร้างนโยบายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้องหรือบุคคลของกลุ่มโดยมีวาระซ่อนเร้น
- การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งอ้างว่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจ เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) , ทำให้นักการเมืองได้หุ้นเป็นจำนวนมาก
(6) ขนาดของปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนในองค์กรภาครัฐ ข้อมูลจากการนำเสนอของรศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศธร สถาบัน TDRI พบว่า
-เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ได้มีข้อห้ามกันไว้ในกฎหมายหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางการปกครอง พ.ศ.2539, รัฐธรรมนูญ มาตรา331 (2), พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แต่นักการเมืองและข้าราชการระดับสูงไม่ให้ความสำคัญ โดยได้พบปัญหาความขัดแย้งผลประโยชน์ทับซ้อนในหลายหน่วยงาน จากการวิจัยหน่วยราชการดังนี้
1) จำนวนหน่วยราชการที่ศึกษา 9 แห่ง มีปัญหาความขัดแย้งผลประโยชน์ทับซ้อน 19 แห่ง คิดเป็นร้อยละ100
2) จำนวนชุดของคณะกรรมการ 20 ชุด มีปัญหาความขัดแย้ง16 ชุด ผลประโยชน์ทับซ้อน คิดเป็นร้อยละ80
3) จำนวนกรรมการ 299 คน มีปัญหาความขัดแย้งผลประโยชน์ทับซ้อน84คน คิดเป็นร้อยละ28
(7) ผลกระทบคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายคือ มีนโยบาย มีคนกำหนดนโยบาย มีคนตั้งเรื่อง และมีผลประโยชน์ทับซ้อน ดังปรากฏในรูปแบบดังนี้
1) การจัดซื้อจัดหา คือ ตั้งราคาจัดซื้อจัดหาให้แพงกว่าราคาตลาดแล้วเรียกค่าหัวคิว หรือ คอมมิสชั่น
2) การให้สัมปทานและสิทธิพิเศษในธุรกิจประเภทต่าง ๆ เช่นเหล้า โทรศัพท์ ทางด่วน รถไฟใต้ดิน ฯลฯ
3) การขายสาธารณสมบัติ ทำราคาขายให้ต่ำกว่าความเป็นจริงเพราะภาคธุรกิจเอกชนชอบซื้อถูกขายแพง แต่รัฐชอบซื้อแพงขายถูก
4) การกำกับดูแล…ในธุรกิจที่มีอำนาจผูกขาดโดยธรรมชาติซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจสาธารณูปโภคสาธารณูปการ
(8) ข้อเสนอเชิงนโยบายจากภาคประชาชน
(8.1) ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี ได้นำเสนอเมื่อวันที่ 20สิงหาคม 2547
1) ให้จัดงบประมาณปีละ 500 ล้านบาท สนับสนุนงานวิจัยคอร์รัปชั่นโดยผ่านสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ หรือสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
2) สนับสนุนให้มีคนทำ กายวิภาคหรือกลไกกระบวนการของคอร์รัปชั่น
3) สนับสนุนสื่อมวลชนทำการสืบสวนสอบสวน ให้สื่อมวลชนเข้มแข็ง
4) ทำกระบวนการขององค์กรอิสระให้เป็นกระบวนการสาธารณะโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม ทั้งในส่วนของสำนักงาน ป.ป.ช. ป.ป.ง. ส.ต.ง. ฯลฯ
5) ตัดวงจร 3 ประสาน คือ อำนาจการเมือง ข้าราชการและนักธุรกิจ โดยกำหนดให้การแต่งตั้ง อธิบดี และปลัดกระทรวงเป็นกระบวนการสาธารณะให้ผู้คนรับรู้ และให้การทำงานของคนเหล่านี้มีวาระ (เทอม) ที่แน่นอน เช่น 4-5 ปี เพื่อให้ตั้งใจทำงานเพื่อบ้านเมือง
6) ติดตามตรวจสอบการทำงาน ต้องโปร่งใสโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของสาธารณะที่เป็นรูปธรรม
7) การจัดทำโครงการขนาดใหญ่ต้องมีการจัดการที่ถูกต้อง มีส่วนร่วม และมีการประเมินผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมด้านสังคมและสุขภาพ
8) ต้องสร้างจิตสำนึกในการสุจริต โดยอัญเชิญพระราชดำรัสของพระราชินีที่ว่า "คนจนแต่ซื่อสัตย์ ดีกว่าคนรวยที่โกง"
(8.2) ข้อเสนอจากเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น (เมื่อวันที่ 27กรกฎาคม 2544)
1) จัดตั้งกองทุนสนับสนุนให้สื่อมีส่วนร่วมการตรวจสอบและต่อต้านคอร์รัปชั่น
2) แก้ไขกฎหมาย ป.ป.ช. ในประเด็น อายุความ รางวัลชี้เบาะแส เพิ่มหน่วยงานแบ่งเบาป.ป.ช.และกระบวนการสรรหาป.ป.ช.
3) ทบทวนกฎหมายและระเบียบวิธีการจ้างที่ปรึกษาต่างประเทศ
4) ทบทวน กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม
5) ให้หน่วยงานท้องถิ่น/รัฐเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างลง internet
6) ให้ส่งเสริมข้าราชการทำงานเป็นอาสาสมัครเพื่อสังคม
7) ใช้สื่อของรัฐรณรงค์สร้างกระแสนิยมต้านทุจริต
8) ดูแลการจัดสรรคลื่นความถี่ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
9) ให้ภาคประชาชนได้ใช้เครือข่ายวิทยุ-โทรทัศน์ของรัฐเพื่อสร้างเครือข่ายต้านคอร์รัปชั่น
1 ความคิดเห็น:
ภูเก็ตยังมีอํามาตย์ด้านมืดที่ทําให้อํามาตย์ที่ดีต้องเปื่อนสีดําไปด้วยเมืองไทยไม่ไปข้างหน้าซักที
แสดงความคิดเห็น